TuKKaTan AC511

วันพฤหัสบดีที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2553

9 เทคนิค ฝึกสมองไบรท์



ผู้หญิงสมัยนี้ อยากสวย ฉลาด และสุขภาพดี ทุกคนจึงพากันดูแลรูปร่าง ด้วยการออกกำลังกาย เคร่งครัด เรื่องอาหารการกิน แต่ไม่เคยมีใครสนใจว่าจะดูแลสมองอย่างไรให้มีสุขภาพดี ทั้งที่สมอง เป็นอวัยวะที่ตัดสินใจทุกเรื่องของชีวิต เราจึงควรเอกเซอร์ไซส์สมองให้ไบรท์ด้วยเทคนิคง่ายๆ ต่อไปนี้

1.จิบน้ำบ่อยๆ (Drink water very often)
สมองประกอบด้วยน้ำ 85 % เชลล์สมองก็เหมือนต้นไม้ที่ ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าไม่มีน้ำ ต้นไม้ก็เหี่ยว ถ้าไม่อยากให้เชลล์สมองเหี่ยว ซึ่งส่งผลให้การส่งข้อมูลช้า กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออก แต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อยๆ

2. กินไขมันดี (Enjoy good Omega 3)
คนไม่ค่อยรู้ว่าสมองคือก้อนไขมัน ซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ แนะนำให้กินไขมันดีระหว่างวัน จำพวกน้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วยปลาที่มีไขมันดีอย่าง ปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง วิตามินรวม น้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดี ที่ทำให้เชลล์ชุ่มน้ำ ส่วนวิตามินซีกินแล้วสดชื่น

3.นั่งสมาธิ วันละ 12 นาที (Meditation 12 min a day)
หลังจากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้า วันละ 12 นาที เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่น Theta ซึ่งเป็นคลื่นที่ผ่อนคลายสุดๆ ทำให้สมองมี Mental Imagery สามารถ จินตนาการเห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์( ถ้าทำไม่ ได้ตอนเช้า) ให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน

4.ใส่ความตั้งใจ (Program the brain: have specific intention)
การตั้งใจในสิ่งใดก็ตาม เหมือนการโปรแกรมสมองว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิด ระหว่างวันสมองจะปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้น ทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่างๆ เพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่งที่ทำจริงกับสิ่งที่คิดขึ้น ทั้งสองอย่างจึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน

5.หัวเราะและยิ้มบ่อยๆ (Laugh and Smile)
ทุกครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสารเอ็นโดรฟินซึ่งเป็นสารแห่งความสุข หลั่งออกมาเท่ากับเป็นการกระตุ้น ให้มีความอยากรักและหวังดีต่อคนอื่นไปเรื่อยๆ

6.เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน (Learn new thing everyday)
สิ่งใหม่ในที่นี้หมายถึง สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหารร้านใหม่ๆ รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่ คุยกับเพื่อนร่วมงานและเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา เป็นต้น เพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ทำให้สมองหลั่งสารเอ็นโดรฟิน และโดปามีน ซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และสร้างสรรค์ ไปเรื่อยๆเมื่อมีความสุขก็ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์

7.ให้อภัยตัวเองทุกวัน (Forgive yourself, reduce brain stress)
ขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง การให้อภัยตัวเอง เป็นการลดภาระของสมอง

8.เขียนบันทึก Graceful Journal (Write graceful journal, good things inlife every day)
ฝึกเขียนขอบคุณสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึก เช่น ขอบคุณที่มีครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพที่ดี ขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข เป็นต้น เพราะการเขียนเรื่องดีๆ ทำให้สมองคิดเชิงบวก พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา ช่วยให้หลับฝันดี ตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มีความคิดสร้างสรรค์

9.ฝึกหายใจลึกๆ (Deep breath)
สมองใช้ออกชิเจน 20 25 % ของออกชิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึกๆ จึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกชิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงานนานๆ อาจหาเวลายืนหรือเดินยึดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยายใหญ่ สามารถหายใจเอาออกชิเจนเข้าปอดได้เพิ่มขึ้นอีก 20 %การ มีสมองที่ดีก็เหมือนทักษะทุกอย่างในโลกที่เรียนรู้ได้ แต่จะเก่งหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการฝึกฝน ถ้าเราดูแลและฝึกฝนสมองให้ดี คุณภาพชีวิตก็จะดีตาม

รักกันเพราะไอที มันจะดีหรือล่ม



ไม่นานมานี้ที่สหรัฐอเมริกา Facebook เป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่ทำให้คู่รักจับได้ว่า แฟนที่เรารักนักรักหนาแอบคบหากิ๊ก ถึงขั้นเป็นเอกสารที่ทำให้การฟ้องหย่าสำเร็จมาแล้วหลายคู่ เพราะ Facebook มัดแน่นจนเถียงไม่ออก บางคนอยากพิสูจน์ความซื่อสัตย์ของแฟนว่าจะใสซื่อเหมือนหน้าตาหรือเปล่า ปลอมตัวดีกว่าเป็นหญิงสาวแบ๊วใส ไวต่อความรู้สึก หลงทางเข้ามา Chat กับแฟนตัวเอง เพื่อลองใจทั้ง ๆ ที่ใกล้จะแต่งงานกันอยู่แล้วเชียว กะเล่นขำ ๆ คุย ๆ ไปคุยมาเลยลองถามคุณผู้ชายว่ามีแฟนหรือยัง ผู้ชายใกล้หมดวาระโสดเลยขอกระโดดโลดเต้นระยะสุดท้าย ตอบเสียงใส ๆ ยังไม่มีเลยจ้ะ ขอเบอร์หน่อยได้หรือเปล่า!!! หญิงสาวหน้าร้อนฉ่า ว่าที่สามีกำลังจะตีสนิทกับสาวทาง Chat ที่เขาไม่นึกว่าเป็นเราแกล้งให้เบอร์โทรที่เขาคงไม่คุ้น นัดแนะกันเรียบร้อยว่า 4 ทุ่ม คืนนี้จะโทรมา พอ Log out ก็นั่งเศร้าล่ะทีนี้ เธอกำลังจะนอกใจหรือแค่หาเบี้ยใบ้รายทาง ถ้าเธอโทรมาจะบอกกับเธอว่าอะไร เล่นบทเด็กหน้าใสไปจนกว่าเธอจะแพ้ภัยตัวเองหรือสารภาพซะ ยอมรับกันไปตรง ๆ ว่า ฉันหลอกเธอเพื่อไปเจอว่าเธอพร้อมจะหลอกฉันตลอดเวลา ไม่รู้ว่าตอนนี้พิธีแต่งงานจะเดินหน้าหรือว่าควรหยุดไว้แค่นี้ เป็นแฟนกันยังหลอกได้หลอกดี ตอนเป็นสามี ยิ่งไม่รู้ว่าประโยคไหนดีที่ควรเชื่อเธอ แต่ยังไงก็อย่าเพิ่งคิดว่าโลกออนไลน์เป็นสาเหตุแห่งหายนะอย่างเดียว หลายคนตามหาคนที่ใช่ เจอกันจนได้ใน Facebook บางคน Chat ไป Chat มา รู้ใจก่อนรู้จักหน้า ที่สมหวังกันมาก็เยอะ ประเภทคุยกันขำ ๆ ทำให้ช้ำซ้ำ ๆ ซาก ๆ ก็มีให้เห็นอยู่เรื่อย ๆ ตอนนี้ถ้าใครเริ่มรู้สึกว่าออนไลน์ทีไร นึกถึงหน้าใครคนหนึ่งทุกที หัวใจเต้นถี่ ๆ เวลาเห็นเธอออนไลน์ น้อยใจน้ำตาไหลที่เห็นเขาออนไลน์แต่ไม่เห็นทักทายกัน แปลว่าเราเริ่มหลงใหลใครบางคนบนโลกไซเบอร์ซะแล้ว ลองมาหาวิธีที่ช่วยตัดสินใจให้รู้กันไปว่า คนบางคนเราควรกดปุ่ม Enter หรือปล่อยให้มันเบลอ ๆ จนค่อย ๆ Delete ตัวเองไปในที่สุด

1. แค่อยากมีเพื่อนนะ ไม่ใช่ตั้งหน้าตั้งตาหากิ๊ก

คุยกับตัวเองดี ๆ ก่อน การคุยกับเพื่อนใหม่ ๆ เหมือนการหาอะไรใส่ชีวิต แต่ถ้าตั้งหน้าตั้งตาหากิ๊ก วิธีคิด วิธีคุยเราจะเปลี่ยน อีกฝ่ายอาจรู้สึกเลี่ยน ๆ คล้าย ๆ จะโดนปล้ำทางตัวหนังสืออยู่ตลอดเวลา เอะอะคุยเรื่องอนาคต ยัง!!! บอกกับตัวเองดัง ๆ ก็แค่หาเพื่อนใหม่ อนาคตจะเป็นยังไงก็ช่าง อย่างน้อยตอนนี้ขอให้มีความสุขที่ได้คุยกัน

2. รู้หน้าไม่รู้ใจ

เห็นแค่ตัวหนังสืออย่าไปถือจริงจัง บางคนรู้สึกเป็นปัญหา ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ใช่ปัญหา “พี่อ้อยคะ เค้าชอบบอกว่าคิดถึง หนูเลยสับสนว่าจะเริ่มต้นกันยังไงดี” คิดถึงเป็นคำสามัญที่ใช้กันอย่างธรรมดาน้อง อย่าคิดมากกับเรื่องเล็ก คนเรารู้สึกดีต่อใคร ก็พร้อมจะใส่คะแนนบวกให้เขาตลอดเวลา

3. อย่าออกตัวแรงกว่า คิดถึง 5 บอกซะ 3

เจอคนดีก็ดีไป เจอคนร้าย เขาจะยิ่งนึกสนุกในการปั่นหัว เพ้อทุกครั้งที่คุยกัน รู้สึกขาดเขาไม่ได้ มีอะไรพูดหมด บางคนแค่สนุกต่อการเล่นกับความรู้สึกของคนอื่น

4. หาข้อมูลเพิ่มเติมเสริมความมั่นใจ

ยิ่งเป็น Facebook ยิ่งง่าย เขามีเพื่อนเป็นใครบ้าง ลองคลิก ๆ เข้าไปดูทั่ว ๆ รูปที่เขาหรือเพื่อนเขาเอามาแปะน่ะ ประมาณไหน กอดคอถึงเนื้อถึงตัวไปทั่ว หรือวางตัวดีน่ารักประวัติไม่ด่างพร้อย

5. กระชับพื้นที่อีกนิด

ถ้ารู้สึกติดใจ อย่ามัวแต่คุยกันทาง MSN ฝัน ๆ เพ้อ ๆ กับตัวหนังสือ อินเทอร์เน็ตคือจุดเริ่มต้นที่คนมาเจอกัน แต่ถ้าจะคบกัน จงคบกันแบบความสัมพันธ์ปกติ ลองโทรคุย แล้วค่อยขยับมาเจอกัน แต่ขอให้เจอกันในระยะปลอดภัย อย่านัดทีไร ดูเสี่ยงภัยตลอด รู้ว่าชีวิตวัน ๆ ไม่ค่อยมีอะไรลุ้น แต่ลุ้นเรื่องนี้บางทีได้ไม่คุ้มเสีย...เพื่อนพ้องพี่น้องช่วยตามมาประกบในวันนัดพบวันแรก

6. ทำหลักฐานเพื่อยืนยันความสัมพันธ์

เจอกัน คบกัน คุยกัน ถ่ายรูปคู่กันไม่มีอะไรเสียหาย ขอเน้นแค่โพสต์ท่าปกติ อย่าถึงขั้น Pre Wedding หรือกอดจริงจูบจริงไม่ต้องใช้สแตนด์อิน อันนี้ก็เยอะไป เลือกรูปที่ดูเบา ๆ แล้วค่อย ๆ โพสต์ในเว็บของเรา ไม่ได้ต้องการประกาศอะไร แค่ตามหาผู้เสียหายที่อาจปรากฏกายให้เราไม่ต้องนั่งทายว่า เขามีคนอื่นอยู่ก่อนเราหรือเปล่า
ทั้งหมดเชื่อในตัวเองและเชื่อในความไม่แน่นอน คุยกันเรียนรู้กันไปแบบเห็นหน้าเห็นตา บางทีรู้หน้ายังไม่รู้ใจนับประสาอะไรกับการกดแป้นพิมพ์ อยากจะพูด อยากจะเป็นอะไร อยากโชว์นิสัยแบบไหน...บางคนคบกันเป็น 10 ปี อยู่ดี ๆ บอกว่าที่ผ่านมา เธอไม่ใช่ แต่พอคบคนใหม่ได้ 2 เดือนกว่า รีบประกาศซะดังว่าคนนี้ล่ะ คนที่ใช่

รักจะอยู่ยาวหรือชั่วคราว ไม่ได้อยู่ที่ว่าเราเจอกันยังไง จะเจอทาง Twitter, Facebook, MSN หรือครอบครัวสนิทกันมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่า ไม่ได้เป็นตัวการันตีว่า เจอกันแบบไหนรักจะมั่นคงกว่ากัน เพราะสิ่งที่สำคัญไม่ใช่จุดเริ่มต้น มันอยู่ที่ระหว่างทางต่างหาก

เรายิ้มรับความเศร้าได้



แม้ชีวิตจะลำเค็ญ แม้ว่าบางครั้งจะยิ้มได้ยาก
แต่เราต้องพยายาม...
อย่างเช่นเวลาเอ่ยทักทายให้พรกันว่า

"อรุณสวัสดิ์" ก็ต้องเป็น "อรุณสวัสดิ์" อย่างแท้จริง

ไม่นานมานี้มีเพื่อนคนหนึ่งถามฉันว่า
"ดิฉันจะเคี่ยวเข็ญให้ตัวเองยิ้มได้อย่างไร
ในขณะที่โศกเศร้า มันไม่เป็นธรรมชาติเลย"

ฉันตอบว่า
เธอต้องยิ้มรับความเศร้าให้ได้
เพราะเราเป็นมากกว่าความโศกเศร้า

มนุษย์คนหนึ่งเปรียบเสมือนเครื่องรับโทรทัศน์ที่มีนับล้านๆช่อง
เมื่อเปิดไปช่องพุทธะเราก็เป็นพุทธะ
หากเปิดไปช่องโศกเศร้า เราก็เป็นความโศกเศร้า

ครั้นเมื่อเปิดไปช่องยิ้ม
เราก็กลายเป็นความยิ้มแย้มได้จริงๆ
หาควรปล่อยให้ช่องใดช่องหนึ่งมีอิทธิพลครอบงำไม่

เรามีเมล็ดพันธุ์ที่จะเป็นได้ทุกอย่างอยู่ภายใน
เราต้องยึดกุมสถานการณ์ไว้ในกำมือให้ได้
เพื่อฟื้นอำนาจในตัวเราเองกลับคืนมา

จุดกำเนิดของจิ๊กซอว์ (Jigsaw Puzzle)



ปี ค.ศ. 1767 นายจอห์น สปินบูรี (John Spilbury) เป็นทั้งครูและนักทำแผนที่ ได้ประดิษฐ์แผ่นแผนที่ประเทศอังกฤษ ด้วยการทำแผนที่แต่ละเมืองบนกระดานแต่ละแผ่นแล้วนำมาต่อกันเป็นประเทศอังกฤษ เพื่อใช้ในการสอนนักเรียน ซึ่งต่อมาในปี ค.ศ. 1820 แผนที่ดังกล่าวเป็นอุปกรณ์การสอนหนังสือในโรงเรียนระดับประถมศึกษาต่อมาในปี ค.ศ. 1880 ของเล่นทำด้วยไม้ที่เรียกว่า " จิ๊กซอว์ พัสเซิล " (Jigsaw Puzzle) เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกปีต่อมาของเล่นชนิดเดียวกันแต่ทำด้วยกระดาษแข็งก็ถูกผลิตออกมาเป็นครั้งแรก ยุคทองของการเล่นสนุกจิ๊กซอว์ พัสเซิส คือช่วงปี ค.ศ. 1920 – 1930 บรรดาบริษัททั้งหลายทั้งในอังกฤษและอเมริกา ก็พากันประดิษฐ์ของเล่น " ชิ้นส่วน " ต่อเป็นภาพต่าง ๆ ทำด้วยกระดาษแข็ง ในแต่ละระดับวัย จนกระทั่งปี ค.ศ. 1932 ในสหรัฐอเมริกามีการทำจิ๊กซอว์ด้วยการพิมพ์ เริ่มด้วยจำนวนพิมพ์ 12,000 ชุด ไม่ช้ากลายเป็น 100,000 ชุด และ 200,000 ชุด ในเวลาต่อมา แรกเริ่มเดิมที ของเล่นชิ้นนี้มีเพียงแต่วางชิ้นส่วนเรียงกันในกรอบเท่านั้น ต่อมามีการประดิษฐ์เครื่องมือเครื่องจักรสำหรับตัดริมชิ้นส่วน และทำเป็นลิ่มเพื่อใช้เกี่ยวแต่ละชิ้นส่วนให้ลงตัวแน่นเหนียวขึ้น ปัจจุบันจิ๊กซอว์พัสเซิลของเล่นตื่นตาตื่นใจสำหรับทุกเพศทุกวัย มีจำหน่ายทั่วโลก

วันจันทร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2553

เครื่องบินไร้คนขับพลังไฮโดรเจนจากโบอิง (โบอิง)


“โบอิง” เปิดตัวเครื่องบินไร้คนขับพลังงานไฮโดรเจน “เจ้าตาปีศาจ” ที่สามารถบินได้ต่อเนื่อง 4 วัน และสามารถบินได้สูงถึง 20,000 เมตร โดยเครื่องบินต้นแบบนี้ จะถูกส่งไปยังศูนย์วิจัยการบินของนาซาเพื่อเตรียมทดลองบินเที่ยวแรกต้นปี 2011 นี้
จากการเปิดเผยของ “โบอิง” (Boeing) บีบีซีนิวส์ระบุว่า บริษัทผู้ผลิตเครื่องบินยักษ์ใหญ่ของโลกนี้ได้เปิดตัวเครื่องบินพลังงานไฮโดรเจนไร้คนขับที่ชื่อว่า “แฟนทอมอาย” (Phantom Eye) หรือ “ตาปีศาจ” ซึ่งสามารถบินที่ระดับความสูง 20,000 เมตร และบินต่อเนื่องถึง 4 วัน
เครื่องบินต้นแบบนี้จะถูกขนส่งไปยังศูนย์วิจัยการบินดรายเดน (Dryden Flight Research Center) ขององค์การบริหารการบินอวกาศสหรัฐฯ (นาซา) ในรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐฯ ในช่วงฤดูร้อนนี้ของซีกโลกเหนือ เพื่อเตรียมทดสอบการบินเที่ยวแรกต้นปี 2011 ซึ่งเครื่องบินนี้เป็นผลงานจากหน่วยวิจัย “แฟนทอมเวิร์คส” (Phantom Works) และทีมพัฒนาที่เป็นความลับของโบอิง
โบอิงระบุว่า ในที่สุดเครื่องบินพลังงานไฮโดรเจนนี้ ต้องมีความฉลาดอยู่ในตัวและสามารถควบคุมได้ด้วยตัวเอง และบอกด้วยว่าเครื่องบินลำนี้รองรับเที่ยวบินทรหดได้อย่างยาวนาน เพราะมีระบบพลังงานไฮโดรเจนที่เบาขึ้นและทรงพลังขึ้น
คริส แฮดดอกซ์ (Chris Haddox) จากหน่วยวิจัยแฟนทอมเวิร์คสกล่าวว่า ในปี 1989 ทางบริษัทเคยทดลองบิน “คอนดอร์” (Condor) ยานไร้คนขับที่ใช้พลังงานเชื้อเพลิงทั่วไป ซึ่งบินได้นาน 60 ชั่วโมงและเป็นเวลายาวนานที่สุดแล้วที่ทำได้
“ตอนนี้เรากำลังพูดถึงการบินยาวนาน 96 ชั่วโมง” แฮดดอกซ์กล่าว
ทั้งนี้ โบอิงอธิบายว่าเครื่องบินแฟนทอมอายนี้ ใช้พลังงานไฮโดรเจน 2.3 ลิตร โดยมีเครื่องยนต์ทรงกระบอก 4 ชุดที่แต่ละชุดให้กำลัง 150 แรงม้า และตัวเครื่องมีขนาดใหญ่มาก ด้วยความกว้างของปีกที่ยาวถึง 46 เมตร
“มันไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อสอดแนม แต่สร้างมาเพื่อพิสูจน์ความอึด” แฮดดอกซ์บอกบีบีซีนิวส์
ด้านกระทรวงกลาโหมของสหราชอาณาจักร (UK Ministry of Defence: MoD) สนใจในเครื่องบินที่มีความทนทานและบินได้ในระดับสูง เพื่อใช้ในการตรวจตรา และกำลังพิจารณาอย่างถ้วนถี่ในเทคโนโลยีต่างๆ ซึ่งรวมถึงเทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อบรรลุเป้าหมาย “โครงการบริโภคซากอินทรีย์” (Scavenger project) โดยกระทรวงมีความร่วมมือกับ ควินทิค (Qinetiq) บริษัทพัฒนาอากาศยานและการป้องกันภัย ซึ่งกำลังจะบรรลุความสำเร็จในการพัฒนาเครื่องบินพลังงานแสงอาทิตย์ที่เรียกว่า “เซไฟร์” (Zeph)
ทั้งนี้ โฆษกกรทรวงกลาโหมสหราชอาณาจักรรบุว่า การบินได้ยาวนานถึง 4 วันนั้นเป็นเรื่องดี แต่ทางกระทรวงกำลังพิจารณาคุณสมบัติเพื่อตอบสนองความต้องการในการสอดแนมที่ถาวรและเข้มข้น ซึ่งเครื่องบินที่มีคุณสมบัติดังกล่าวจะลอยตัวอยู่ในอากาสได้นานเกินสัปดาห์

วันอังคารที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2553

วันจันทร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2553

“สคูบสเตอร์” เรือดำน้ำพลังปั่น ไม่ง้อเชื้อเพลิง


เรือดำน้ำไม่ใช้พลังงาน “สคูบสเตอร์” อาศัยพลังปั่นดำดิ่งใต้มหาสมุทรได้ลึก 6 เมตร ด้วยความเร็ว 8 กม./ชม. คาดเตะตาเศรษฐีเรือยอชท์ พร้อมประกาศร่วมแข่งเรือดำน้ำนานาชาติที่สหรัฐฯ ปีหน้า

สมาคมยานขับเคลื่อนไม่รู้จบ (Endless Flyers association) เผยเรือดำน้ำแบบไม่ใช้พลังงานเพื่อความยั่งยืนสัญญาณฝรั่งเศส “สคูบสเตอร์” (Scubster) ซึ่งขับเคลื่อนได้โดยการปั่น โดยทีมพัฒนาตั้งเป้าว่า จะเป็นทีมฝรั่งเศสทีมชาติแรกที่จะนำยานขับเคลื่อนพลังปั่นนี้เข้าร่วมการแข่งขันเรือดำน้ำนานาชาติ (International Submarine Race) ซึ่งจะมีขึ้นในสหรัฐฯ เดือน ก.ค.2011

เอเอฟพีระบุว่า โครงการพัฒนาเรือดำน้ำไม่ใช้พลังงานนี้เกิดขึ้นจากความร่วมมือระหว่าง สมาคมยานขับเคลื่อนไม่รู้จบ และอีก 2 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีจากเมืองตูลง ฝรั่งเศส คือ สถาบันกลศาสตร์ชั้นสูงแห่งปารีส (Institut Supérieur de Mécanique de Paris: SUPMECA) กับสถาบันวิศวกรรมศาสตร์แห่งตูลงและวาร์ (Institut des Sciences de l'Ingénieur de Toulon et du Var or ISITV)

เรือดำน้ำสคูบสเตอร์ที่นั่งเดียวสีเหลืองนี้มีความยาว 3.5 เมตร มีใบพัดแฝดที่เชื่อมต่อกับสายพานปั่น โดยสามารถทำความเร็วได้ 8 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หากคนขับมีสภาพร่างกายพร้อมและดำน้ำได้ลึก 6 เมตร ภายในเรือดำน้ำที่ปิดผนึกอย่างมิดชิดนั้นคนขับจึงจำเป็นต้องหายใจผ่านหน้ากากและถังออกซิเจน

ทีมพัฒนาได้ทดสอบศักยภาพเรือดำน้ำปั่นนี้ใกล้ๆ กับเมืองแซงต์ ฌอง กัป เฟอรา (Saint-Jean Cap Ferrat) ทางตะวันออกเฉียงใต้ของฝรั่งเศส และภายในสัปดาห์นี้เดลเมลรายงานว่าจะมีการทดสอบใต้น้ำนาน 1 ชั่วโมงในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนบริเวณโกต ดาซูร์ (Cote d'Azur) ของฝรั่งเศส

ไม่ว่าเรือดำน้ำนี้จะประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์หรือไม่ สตีเฟน รูสสัน (Stephane Rousson) ผู้อยู่เบื้องหลังการพัฒนานวัตกรรมนี้เชื่อว่า เรือดำน้ำพลังปั่นนี้ จะดึงความสนใจตลาดบนของผู้เป็นเจ้าของเรือยอชท์ในฐานะ “เรือดำน้ำแบบพกพา” ได้